วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

ความเชื่อไสยศาสตร์



ความเชื่อไสยศาสตร์


                    หากเราจะกล่าวถึงไสยศาสตร์ในสังคมไทย ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยและศาสนาพุทธของเรามาอย่างยาวนาน แต่หากจะพูดถึงต้นกำเนิดของไสยศาสตร์นั้นยังคงเป็นข้อถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยคำว่าไสยศาสตร์นั้นปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในสมัยพุทธกาล ซึ่งในคัมภีร์ไตรเภทของลัทธิพราหมณ์ได้มีการกล่าวถึงคัมภีร์อาถรรพเวทว่า เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทมนตร์คาถาที่สามารถเรียกผีสางเทวดาให้ช่วยป้องกันภัยอันตรายได้ โดยสามารถแก้อาถรรพ์และขณะเดียวกันก็สามารถทำพิธีสาปแช่งผู้อื่นได้เช่นกัน 
                   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้ว่า ตำราทางไสย, วิชาทางไสย. คำว่า ไสย, ไสย- [ไส, ไสยะ-] เป็นคำนาม หมายความว่า ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนตร์คาถา ซึ่งเชื่อว่าได้มาจากพราหมณ์ เช่น ถูกคุณถูกไสย. ในขณะเดียวกันไสยศาสตร์ในความหมายของพจนานุกรมไทยก็ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร” และหากจะกล่าวถึงไสยศาสตร์แล้ว ผู้คนก็มักจะนึกถึงการทำสิ่งไม่ดีก่อน ซึ่งแท้จริงไสยศาสตร์ไม่ได้มีแค่ด้านที่ไม่ดีอย่างเดียว เนื่องด้วยศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์จึงปรากฏการใช้ไสยศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยคัมภีร์อาถรรพเวทสามารถแยกไสยศาสตร์ออกเป็น 2 นิกายด้วยกันคือ
- สายขาว เป็นวิชาที่ใช้ในทางที่ดี และช่วยเหลือมนุษย์
- สายดำ เป็นสายที่ใช้ในทางชั่วให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
                   อาถรรพ์หรือไสยศาสตร์นั้นมีปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในพระราชประวัติพระยาลิไทยได้กล่าวว่า พระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญในทางไสยศาสตร์ และได้ทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม (ตำราที่ว่าด้วยอาวุธประกอบด้วยอาคม) เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านอกจากพระยาลิไทยจะทรงใช้พระพุทธศาสนาในการปกครองบ้านเมืองแล้ว ยังทรงนำไสยศาสตร์เข้ามาใช้ด้วย หรือแม้แต่ในสุภาษิตพระร่วงก็ได้กล่าวถึงไสยศาสตร์เช่นกัน ความว่า อย่าปองเรียนอาถรรพ์ พลันฉิบหายวายม้วย” แปลว่า อย่าเรียนไสยศาสตร์เพื่อไปทำร้ายผู้อื่น เพราะจะทำให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ไสยศาสตร์เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทยตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยแล้ว
                   สมัยสุโขทัย วรรณคดียังไม่มีการอธิบายรูปแบบหรือลักษณะของไสยศาสตร์ที่ปรากฏในวรรณคดีมากนัก แต่จะมีการปรากฏมากขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลที่อยุธยาได้รับมาจากเขมร เนื่องจากในสมัยของพระเจ้าอู่ทอง ไทยได้ยกทัพไปตีเขมร จนเขมรตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา ส่งผลให้ไทยได้รับวัฒนธรรมหลายประการ เช่น ระบอบการปกครองแบบเทวราชา ไสยศาสตร์ และอักขระขอมที่จารึกลงบนพระไตรปิฎก เป็นต้น ซึ่งพระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโต ได้ให้คำจำกัดความของไสยศาสตร์ไทยและเขมรไว้ ดังนี้
- ไสยศาสตร์ไทย
 จะเป็นลักษณะของการป้องกันตัว การรักษาตัว โดยเน้นการป้องกันตัวเองมากกว่าการเล่นของเพื่อทำร้ายผู้อื่น
- ไสยศาสตร์เขมร
 จะเป็นพวกอาถรรพ์ เช่น คุณไสยต่าง ๆ การเสกของเข้าท้อง เสกต่อเสกแตน เสกควายธนู การบูชายัญ เสน่ห์ยาแฝด ดินป่าช้า ไสยศาสตร์เขมรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัว โดยคนเล่นของเขมรนั้นมักจะเอาให้ถึงตาย
                   ดังนั้นจะเห็นว่าลักษณะของไสยศาสตร์ไทยในสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากเขมรมาอย่างมาก ในยุคนี้จะมีลักษณะเด่นที่ต่างไปจากเดิม ดังเช่น ไสยศาสตร์ที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความเชื่อเรื่องความฝัน

ความเชื่อเรื่องความฝัน                  ความเชื่อเรื่องความฝันในเรื่องลิลิตพระลอ จะเห็นว่าก่อนที่ตัวละครเอกจะพบกัน ต่างก็ฝันและตีความ...