ความเชื่อไสยศาสตร์
หากเราจะกล่าวถึงไสยศาสตร์ในสังคมไทย
ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยและศาสนาพุทธของเรามาอย่างยาวนาน
แต่หากจะพูดถึงต้นกำเนิดของไสยศาสตร์นั้นยังคงเป็นข้อถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้
โดยคำว่าไสยศาสตร์นั้นปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในสมัยพุทธกาล
ซึ่งในคัมภีร์ไตรเภทของลัทธิพราหมณ์ได้มีการกล่าวถึงคัมภีร์อาถรรพเวทว่า
เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทมนตร์คาถาที่สามารถเรียกผีสางเทวดาให้ช่วยป้องกันภัยอันตรายได้
โดยสามารถแก้อาถรรพ์และขณะเดียวกันก็สามารถทำพิธีสาปแช่งผู้อื่นได้เช่นกัน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้ว่า ตำราทางไสย, วิชาทางไสย. คำว่า ไสย, ไสย- [ไส, ไสยะ-] เป็นคำนาม หมายความว่า ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนตร์คาถา
ซึ่งเชื่อว่าได้มาจากพราหมณ์ เช่น ถูกคุณถูกไสย. ในขณะเดียวกันไสยศาสตร์ในความหมายของพจนานุกรมไทยก็ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร” และหากจะกล่าวถึงไสยศาสตร์แล้ว
ผู้คนก็มักจะนึกถึงการทำสิ่งไม่ดีก่อน
ซึ่งแท้จริงไสยศาสตร์ไม่ได้มีแค่ด้านที่ไม่ดีอย่างเดียว เนื่องด้วยศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย
จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์จึงปรากฏการใช้ไสยศาสตร์เช่นเดียวกัน โดยคัมภีร์อาถรรพเวทสามารถแยกไสยศาสตร์ออกเป็น 2 นิกายด้วยกันคือ
- สายขาว เป็นวิชาที่ใช้ในทางที่ดี และช่วยเหลือมนุษย์
- สายดำ เป็นสายที่ใช้ในทางชั่วให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
อาถรรพ์หรือไสยศาสตร์นั้นมีปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ในพระราชประวัติพระยาลิไทยได้กล่าวว่า พระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญในทางไสยศาสตร์
และได้ทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม (ตำราที่ว่าด้วยอาวุธประกอบด้วยอาคม)
เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมา
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านอกจากพระยาลิไทยจะทรงใช้พระพุทธศาสนาในการปกครองบ้านเมืองแล้ว
ยังทรงนำไสยศาสตร์เข้ามาใช้ด้วย หรือแม้แต่ในสุภาษิตพระร่วงก็ได้กล่าวถึงไสยศาสตร์เช่นกัน ความว่า “อย่าปองเรียนอาถรรพ์ พลันฉิบหายวายม้วย” แปลว่า อย่าเรียนไสยศาสตร์เพื่อไปทำร้ายผู้อื่น
เพราะจะทำให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ไสยศาสตร์เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทยตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยแล้ว
สมัยสุโขทัย วรรณคดียังไม่มีการอธิบายรูปแบบหรือลักษณะของไสยศาสตร์ที่ปรากฏในวรรณคดีมากนัก
แต่จะมีการปรากฏมากขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลที่อยุธยาได้รับมาจากเขมร
เนื่องจากในสมัยของพระเจ้าอู่ทอง ไทยได้ยกทัพไปตีเขมร
จนเขมรตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา ส่งผลให้ไทยได้รับวัฒนธรรมหลายประการ เช่น
ระบอบการปกครองแบบเทวราชา ไสยศาสตร์ และอักขระขอมที่จารึกลงบนพระไตรปิฎก เป็นต้น
ซึ่งพระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโต ได้ให้คำจำกัดความของไสยศาสตร์ไทยและเขมรไว้ ดังนี้
- ไสยศาสตร์ไทย จะเป็นลักษณะของการป้องกันตัว การรักษาตัว โดยเน้นการป้องกันตัวเองมากกว่าการเล่นของเพื่อทำร้ายผู้อื่น
- ไสยศาสตร์เขมร จะเป็นพวกอาถรรพ์ เช่น คุณไสยต่าง ๆ การเสกของเข้าท้อง เสกต่อเสกแตน เสกควายธนู การบูชายัญ เสน่ห์ยาแฝด ดินป่าช้า ไสยศาสตร์เขมรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัว โดยคนเล่นของเขมรนั้นมักจะเอาให้ถึงตาย
ดังนั้นจะเห็นว่าลักษณะของไสยศาสตร์ไทยในสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากเขมรมาอย่างมาก ในยุคนี้จะมีลักษณะเด่นที่ต่างไปจากเดิม ดังเช่น ไสยศาสตร์ที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ
- ไสยศาสตร์ไทย จะเป็นลักษณะของการป้องกันตัว การรักษาตัว โดยเน้นการป้องกันตัวเองมากกว่าการเล่นของเพื่อทำร้ายผู้อื่น
- ไสยศาสตร์เขมร จะเป็นพวกอาถรรพ์ เช่น คุณไสยต่าง ๆ การเสกของเข้าท้อง เสกต่อเสกแตน เสกควายธนู การบูชายัญ เสน่ห์ยาแฝด ดินป่าช้า ไสยศาสตร์เขมรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัว โดยคนเล่นของเขมรนั้นมักจะเอาให้ถึงตาย
ดังนั้นจะเห็นว่าลักษณะของไสยศาสตร์ไทยในสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลจากเขมรมาอย่างมาก ในยุคนี้จะมีลักษณะเด่นที่ต่างไปจากเดิม ดังเช่น ไสยศาสตร์ที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ
ที่มา : https://sites.google.com/site/nangniwannakadee/prawatnangniwannakadee/phra-pheaun-phra-phaeng
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น