วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563

ความเชื่อเรื่องความฝัน



ความเชื่อเรื่องความฝัน

                 ความเชื่อเรื่องความฝันในเรื่องลิลิตพระลอ จะเห็นว่าก่อนที่ตัวละครเอกจะพบกัน ต่างก็ฝันและตีความว่าจะได้พบกันในไม่ช้า
- พระลอฝันถึงเมืองสรอง ฝันถึงพระเพื่อนพระแพง
               
               พระลอในเพศพราหมณ์ศรีเกศ เสด็จชมสวนขวัญของพระเพื่อนพระแพง ทรงทอดพระเนตรเห็นดอกไม้งามต่าง ๆ ก็นึกถึงพระเพื่อนพระแพง สองพี่เลี้ยงทูลเชิญบรรทม พระลอเห็นนกก็ฝากให้นกส่งข่าวไปถึงพระเพื่อน
พระแพง ว่าพระองค์เสด็จมาถึงแล้ว ให้ทั้งสองมาชมไม้อุทยานด้วยเถิด

โคลง ๔
หื่นหอมรสสร้อยเปล่า
แดดาย
แดพิหคเหลือหลาย
แหล่งไล้
นกเอยส่งสารถวาย
ถึงนาฎ พระนา
ให้พระนุชน้องไท้
แม่รู้ข่าวเรียม ฯ
สาลิกาวานส่งสร้อย
สารกู หนึ่งรา
แถลงแด่สองพธู
พี่น้อง
ทรหนอยู่ทรหู
หาอ่อน อวรนา
เห็นแต่นกหกร้อง
ร่ำร้องรนสมร ฯ
สัตวาวานช่วยร้อน
เร็วไป หนึ่งรา
บอกข่าวพระลอไกล
กลิ่นชู้
เสด็จมาอยู่อาไศรย
สวนราช นี้นา
ให้จงสองท้าวรู้
ที่ร้อนแรมศรี ฯ
โนรีเร็วเร่งผ้าย
ผันผยอง หนึ่งรา
ไปสู่มนเฑียรทอง
อ่อนไท้
ทูลสารอันเชิญสอง
กษัตริย์แม่ มานา
มาระเมียรไม้ไหล้
แหล่งเหล้นอภิรมย์ ฯ
ภูระโดกดุเหว่าร้อง
เสียงใส บารนี
เสียงเสนาะเอาใจ
ใช่น้อย
สูรักเร่งเร็วไป
ถึงอ่อน อวรนา
เชิญแม่มาสวนสร้อย
สว่างร้อนใจเรียม ฯ
นกหกบินร่อนร้อง
ไปมา อยู่นา
ซอนซอกจับพฤกษา
เสียดเร้น
บทูลข่าวธิดา
ถวายแด่ เรียมเอย
บ้างไต่ไม้บ้างเต้น
รี่ร้องจอแจ ฯ

พี่เลี้ยงทูลปลอบพระลอไม่ให้ร้อนใจ และร้องกลอนกล่อม ครั้นพระลอตื่นบรรทมทรงปลุกพี่เลี้ยงให้ช่วยแก้ความฝัน

โคลง ๔
พี่ขวัญพี่แก้วพี่
ชวนกัน ฟังรา
เขือกล่อมกูกูฝัน
ดั่งนี้
ฝันทรงสังวาลย์วรรณ
นุชนาฎ นางงาม
สองอุรคะเกี้ยวกี้
ตื่นขึ้นขวัญหาย ฯ
น้องฝันเห็นกอดแก้ว
กลอยใจ
ฝันว่าอ่อนเสด็จใน
แท่นแก้ว
มะเมอตื่นหลงใหล
หาอ่อน อวรนา
ฝันว่าน้องต้องแร้ว
ราคหมั้นตรึงสมร ฯ
o  ฝันทรงภูษิตเจ้า
ใสสุทธิ์
พระเกศทัดธารบุษป์
กลิ่นฟุ้ง
ไปทิศอุไทยอุต
ดมยิ่ง นั้นนา
ฝันว่าอ่อนเล่นถุ้ง
ทั่วท้องสระศรี ฯ
หัตถ์ขวาฝันเคล้นดอก
โกมล
กรกอดดอกจงกล
ฝ่ายซ้าย
ตะเพียนหวั่นไหวชล
ชมช่อน ไส้นา
ลิงโลดพรวนทองหว้าย
หว่างสร้อยสระศรี ฯ

พระลอฝันว่าแต่งองค์งามไปเล่นน้ำในสระ มือขวาเคล้นดอกโกมล มือซ้ายได้จับดอกจงกล สองพี่เลี้ยงจึงทูลว่าเป็นฝันดี พรุ่งนี้จะได้พบพระเพื่อนพระแพงสมพระทัย


- พระเพื่อนพระแพงฝันถึงพระลอ 
               พระเพื่อนพระแพงบรรทมร้องไห้ถึงพระลอทุกคืน บอกพี่เลี้ยงว่าหากพรุ่งนี้ไม่ได้พบพระลอจะขาดใจตาย พี่เลี้ยงว่าอย่าร้องไห้ไปเลย พรุ่งนี้เช้าพระลอจะเสด็จมาสวนขวัญเป็นแน่ พระเพื่อนพระแพงรีบถามว่าพี่รู้ได้อย่างไร ใครมาบอกข่าว พี่เลี้ยงทูลว่าปู่เจ้าสมิงพรายทำนิมิตให้พี่เลี้ยงฝัน ดุจเห็นแก่ตาว่าพระลอมาอยู่แนบข้างพระธิดาแล้ว พระเพื่อนพระแพงได้ยินดังนั้นก็ขอบคุณสองพี่เลี้ยง หากได้สมหวังกับพระลอแล้วจะทดแทนคุณ พี่เลี้ยงเชิญพระธิดาบรรทม กล่อมซอจนหลับไป


โคลง ๔

แท่นทองถเถือกแก้ว
จรูญจรัส
แพรฟูกปักหมอนรัตน์
เพริศแพร้ว
ขนนเขนยพิดานดัด
ดาวดาษ เฉลานา
มุ้งม่านผจงกั้งแก้ว
แก่นไท้ทั้งสอง ฯ
เชิญสองพระพี่น้อง
บรรทม
ขวัญอ่อนอย่าปรารมภ์
ร่ำร้อน
พระลอจะพลันสม
สองราช แลแม่
สองแม่อย่าไข้ข้อน
อยู่ถ้าเชยชม ฯ
ลมพัดเชิญท่านท้าว
เสด็จมา หนึ่งรา
ลมแล่นเวหาหา
ท่านไท้
พฤกษเทพบดีอา
รักษ์เร่ง พระรา
ดาวดาษเดือนต่างไต้
ส่องท้าวเสด็จดล ฯ
สองฟังสองพี่เลี้ยง
สองซอ
ซอว่าพระเลืองลอ
จักเต้า
ไพเราะแก่หูพอ
ใจนาฎ แลนา
เสียงเสนาะสองเจ้า
พี่น้องนิทรา ฯ


เมื่อสองธิดาพี่น้องและพี่เลี้ยงตื่นขึ้น จึงเล่าแก้ความฝัน

ร่าย
    o บัดนั้นสี่นางฝัน เห็นอัศจรรย์นิมิต ติดใจจำชมชื่น ตื่นตระบัดอ่อนไท้ พระเพื่อนคิดจำได้ กล่าวแก้ความฝัน ฯ

โคลง ๔
ฝันว่าได้ดอกฟ้า
มามือ
หอมยิ่งหอมงามฤๅ
เปรียบได้
มาลาดิลกคือ
เฉลิมโลก ไส้แฮ
เป็นปิ่นทิพยทัดไว้
กึ่งเกล้าสองเผือ ฯ

โคลง 
ยินดีเหลือที่อ้าง
แพงนุชนอนแนบข้าง
ค่อยแก้ความฝัน ฯ

โคลง ๔
ฝันว่าสุริเยศท้าว
เสด็จมา
เปนปิ่นปักเกศา
กึ่งเกล้า
พระจันทรส่องพักตรา
ต่างแว่น ทองนา
ดาวดาษทายทัดเกล้า
ดุจสร้อยแซมผม ฯ

ร่าย
    o สองพี่ชมฝันไท้ ท้าว ธจะได้ดั่งใจจง ความจำนงลุลาภ อาบสหัสธารา เปนนางพระยานางเมือง แก่พระลอเลืองดิลกโลก เรืองยศโยคเชยชม พระตนกลมเจ้าช้าง ลอราชมาอ้อมข้าง สองอ่อนท้าวสมสมร แม่นา ฯ

โคลง ๒
จงลุโดยพรพี่เลี้ยง
ฟังทั้งสองพี่เพี้ยง
พี่ให้เสวยสวรรค์
พี่เอย ฯ

ร่าย
    o นางโรยหรรษ์ชมชื่น นางรื่นยกยอกร ไหว้บทอรสองหน่อไท้ สองพี่เลี้ยงสองไหว้ สองแม่แล้ทูลแถลง ฯ


โคลง ๔
พี่เลี้ยงพี่รื่นแก้
ฝันถวาย
ฝันอ่อนเอาดาวราย
รอบเกล้า
ฝันงูกระหวัดสาย
สมรแกล่ กลืนนา
ลอราชจักพลันเต้า
แขกท้าวทั้งสอง ฯ
นางโรยสนองนาฎข้า
กลอยฝัน
ฝันอ่อนเสวยไอศวรรย์
ฟากฟ้า
สองเสวยอมฤตปัญจ์
รสร่วม กันนา
ลอบพิตรเจ้าหล้า
พรุ่งนี้มาถึง แม่แล ฯ


                       พระเพื่อนฝันว่าได้ดอกฟ้าหอมหาสิ่งใดเปรียบมาเป็นปิ่นปักผม พระแพงฝันว่าได้พระอาทิตย์มาเป็นปิ่นปักผม พระจันทร์ต่างกระจกทองส่องหน้า ดวงดาวดาษดามาประดับแซมผม ส่วนพี่เลี้ยงรื่นฝันว่างูมารัดพระธิดา พี่เลี้ยงโรยฝันว่าสองพระธิดาอยู่บนสวรรค์เสวยน้ำอมฤตร่วมกัน จึงทายว่าพระลอจะมาสมสองพระธิดาพรุ่งนี้เป็นแน่                        สองพระธิดาได้ฟังคำแก้ฝันแล้วรอเฝ้ารอรุ่งเช้า ช่างผ่านไปนานราวพันปี เช้าขึ้นสองพี่เลี้ยงได้ยินนกร้องว่าเป็นลางดี พระธิดารีบเร่งให้พี่เลี้ยงไปสืบข่าว พระลอสั่งผู้เฝ้าสวนว่าหากใครมาถามหา ให้บอกว่ามีพราหมณ์กับผู้ติดตามมาขอนอนถึงเช้า พึ่งออกไปสวนเมื่อเช้านี้ ครั้นสั่งความแล้วก็เสด็จไป















วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

สรุปเรื่องลิลิตพระลอ



สรุปเรื่องลิลิตพระลอ


เรื่องย่อ
          เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอ  กษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก จนเป็นที่ต้องพระทัยของพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกร กษัตริย์แห่งเมืองสรอง นางรื่นนางโรย พระพี่เลี้ยงได้ขอให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอเสด็จมาเมืองสรวง เมื่อพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือ พระราชมารดา และนางลักษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อมกับนายแก้วนายขวัญพระพี่เลี้ยง พระลอทรงเสี่ยงทายน้ำที่แม่น้ำกาหลง ถึงแม้จะปรากฏรางร้ายก็ทรงฝืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผีของปู่เจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายแก้วนายขวัญไปจนถึงสวนหลวง นางรื่นนางโรย พี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงออกอุบายลอบนำพระลอกับนายแก้วนายขวัญไปไว้ในตำหนักของพระเพื่อนพระแพง ท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับ สั่งจะจัดการอภิเษกพระลอกับพระเพื่อนและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรงพยาบาทพระลอ อ้างรับสั่งท้าว
พิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระแพง และพี่เลี้ยงพระลอ
  
       พระเพื่อนพระแพง และพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อสู้จนสิ้นชีวิตทั้งหมด
 ท้าวพิชัยพิษณุกรพิโรธพระเจ้าย่าและทหาร รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน พระนางบุญเหลือทรงส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์ทั้งสาม ในที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองก็กลับมาเป็นไมตรีต่อกัน



คุณค่าที่ปรากฏในเรื่อง
๑. ด้านภาษาและสำนวนโวหาร วรรณคดีเรื่องนี้มีสำนวนโวหารไพเราะ เนื้อเรื่องดี การใช้ถ้อยคำปลุกอารมณ์ผู้อ่านได้ดีทั้งอารมณ์โศก อารมณ์เคียดแค้น อารมณ์รักและอารมณ์กล้าหาญ ผู้แต่งถือหลักว่ามนุษย์มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง อยู่เป็นประจำตามวิสัยของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ตัวละครจึงมีชีวิตเลือดเนื้อเจือด้วยความรัก ความโลภ  ความโกรธ และความหลง ดังเช่น พระนางบุญเหลือมีความรักลูก ท้าวพิชัยพิษณุกรมีใจนักเลง ไม่อาฆาตพยาบาท พระเจ้าย่ามีความเคียดแค้น เป็นต้น  และยังสามารถใช้ศึกษาการใช้คำในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นได้
๒. ด้านความรู้  ลิลิตพระลอให้ความรู้ด้านต่าง ๆ หลายประการ  ได้แก่
            ๒.๑  ความรู้ด้านตำนานพื้นเมือง  ลิลิตพระลอเป็นตำนานพื้นเมืองของไทยภาคเหนือ ฉะนั้นจึงให้ความรู้เกี่ยวกับตำนานหรือนิยายพื้นเมืองแก่ผู้อ่าน
            ๒.๒  ความรู้ด้านโบราณคดี  ลิลิตพระลอเป็นตำนานพื้นเมืองที่เกิดขึ้นในจังหวัดแพร่และจังหวัดลำปาง ฉะนั้น สถานที่ของตำนานเรื่องนี้จึงอยู่ที่จังหวัดทั้งสอง สันนิษฐานกันว่าเมืองสรองคงอยู่ทางตอนเหนือของ อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ส่วนเมืองสรวงคงเป็นเมืองในเขตอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง  และยังให้ความรู้เกี่ยวกับชื่อสถานที่ แม่น้ำ ตลอดจนมีเจดีย์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิพระลอและพระเพื่อนพระแพง
            ๒.๓
  ความรู้ด้านการรบ  วรรณคดีเรื่องนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับการรบและการต่อสู้สมัยโบราณ มีการใช้อาวุธ
ต่าง ๆ
                     ดังร่ายว่า  “ผันเข้าคลุกรุกรบ
  หลบหลีกปืนบได้ดอก  หลบหลีกหอกบ่ได้ต้อง  เขาเร่งซ้องเป็นยะยุ่ง  ซ้องหอกพุ่งยะย้าย  ข้างซ้ายเร่งมาหนา  เข้าทุกปลากรุกโรม  สองนายโจมฟั่นเฟื่อง  เครื่องพลัดตัวหัวขาด  เขาก็สาดศรยึง  ตรึงนายแก้วยะยัน”
        ๓.  ด้านสังคมและวัฒนธรรม
            ๓.๑  การปกครอง  ลิลิตพระลอแสดงให้เห็นถึงลักษณะการปกครองสมัยโบราณ  เมืองทั้งหลายต่างก็เป็นอิสระต่อกัน มีเจ้าผู้ครองนคร ดังเช่นเมืองสรองและเมืองสรวง
            ๓.๒  ชีวิตความเป็นอยู่  ลิลิตพระลอสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่และสภาพสังคมสมัยนั้น เช่น การตั้งครรภ์และเลี้ยงลูก นอกจากจะกล่าวถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงสภาพของสังคม เช่น การนับถือผี เชื่อไสยศาสตร์ มีการทำเสน่ห์ เป็นต้น ดังร่ายว่า  “ผีบันดาลไฟคละคลุ้ม ให้ควันกลุ้มเวหา ด้วยแรงยาแรงมนต์”
            ๓.๓  ความเชื่อในศาสนา  ลิลิตพระลอชี้ให้เห็นถึงความเชื่อในพุทธศาสนา เช่น ความเชื่อในกฎแห่งกรรมและบุญบาป
            ๓.๔  ขนบธรรมเนียมประเพณี  วรรณคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องทางภาคเหนือ จึงมีวัฒนธรรมประเพณีทางภาคเหนืออยู่มาก เช่น การขับซอยอยศและยังมีประเพณีการทำศพในสมัยโบราณ ดังเช่น การทำศพของพระลอ พระเพื่อนพระแพง เป็นต้น
            ๓.๕  คติธรรม  ลิลิตพระลอให้คติธรรมในการดำเนินชีวิตหลายประการ เช่น กล่าวถึงธรรมะของผู้ใหญ่
ดังเช่นในร่ายว่า  “อย่าให้ยากแก่ใจไพร่  ไต่ความเมืองจึงตรง  ดำรงพิภพให้เย็น  ดับเข็ญนอกเข็ญใน”
         นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องโชคลางและการเสี่ยงทาย เช่น ตอนที่ทั้งพระลอ พระเพื่อนพระแพง และพี่เลี้ยงคือนางรื่นนางโรย ต่างมีความฝันแล้วตื่นเช้ามาก็มีการทำนายฝัน ซึ่งนำไปสู่เรื่องเดียวกันคือตีความว่า ท้ายสุดแล้วพระลอก็ได้ได้มาสมรักกับพระธิดาทั้งสองพระองค์
        การเสี่ยงทาย อาทิตอนพระลอเสี่ยงทายน้ำที่แม่น้ำกาหลงเพื่อดูว่า อนาคตจะเป็นเช่นไรโดยอธิษฐานว่า ถ้าปรากฎว่า แม่น้ำไหลวนไม่ได้ไหลไปในทิศทางปกติ

        โศกนาฎกรรมจากความรักในเรื่อง "ลิลิตพระลอ" ที่ประพันธ์ด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ไม่เพียงจะสร้างความประทับและตราตรึงใจผู้อ่านด้วยเนื้อหา การผูกเรื่องได้อย่างสนุกสนาน รันทด ซาบซึ้งใจในเรื่องราวของความรักซึ่งมีหลากหลายรูปแบบทั้งรักระหว่างหนุ่มสาว/ นาย-บ่าว/ แม่-ลูก/ เจ้า-ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน แต่ยังมีความงดงามของการใช้ภาษาและถ้อยคำได้อย่างไพเราะจับใจ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสังคมในยุคสมัยที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นด้วย
         เรื่องราววรรณกรรมของพระลอ มิใช่เป็นเพียงเรื่องราวของความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเรื่องราวความรักของแม่กับลูก สามีกับภรรยา นายกับบ่าว ที่เจือปนไปด้วยความเสียสละ เวทมนตร์อาถรรพ์ ความสนุกสนานตื่นเต้น ความทุกข์ยาก ความจากพราก อันล้วนเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งตรึงใจตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการยกย่องลิลิตพระลอให้เป็นสุดยอดแห่งวรรณกรรมประเภทลิลิตสุภาพของไทยที่มิอาจมีวรรณกรรมเรื่องใดมาเทียบเคียงได้
     


คลิปวิดีโอสรุปเรื่องลิลิตพระลอ


https://youtu.be/zS51PnZUG0A


ขนบธรรมเนียมประเพณีการทำศพ


                  
ขนบธรรมเนียมประเพณีการทำศพ

        ในตอนท้ายพระลอ พระเพื่อน พระแพงเสียชีวิต รวมถึง ขุนแก้วกับนางรื่น หมื่นขวัญกับนางโรยก็ตายไปพร้อมกัน เรื่องแปลกก็คือ ในพิธีศพ มีการทำโลงศพเพียง 3 โลงเท่านั้น โลงแรกใส่พระศพสามกษัตริย์ พระลอ พระเพื่อนพระแพง โลงที่สองใส่ศพขุนแก้วกับนางรื่น โลงที่สามใส่ศพหมื่นขวัญกับนางโรย ดั่งพรรณนาว่า

"...มี่อึงอรรณพไห้ เมืองหลวงไข้ทุกด้าว สมเด็จท้าว พิไชยพิษณุกร ธ ให้นำบังอรราชเทพี ดาราวดีเสด็จไป สู่คฤหาไลยพระองค์ ธ ให้สรงศพสามกษัตริย์ จัดสรรพภูษา ตราสังทั้งสามพระองค์ ผจงโลงทองหนึ่งใหญ่ ใส่สามกษัตริย์แล้วไส้ ธ ก็ให้แต่งโลงหนึ่งแล้ว ใส่ขุนแก้วแลนางรื่น โลงหนึ่งใส่หมื่นขวัญแลนางโรย ทำโดยรีตศพเสร็จ ธ ก็เสด็จยังปราสาท ให้หาราชศิลปี มีโองการบังคับ ให้สำหรับพระเมรุ เกณฑ์กำหนดทุกกรม ให้แต่งพนมอัษฐทิศ พิพิธราชวัติฉัตร กลิ้งกลดธวัชบรรฎาก หลายหลากภาคบุษบก..."  7 ศพ 3 โลง คู่รักก็นอนโลงเดียวกัน
                 ท้าวพิไชยพิษณุกรโปรดให้สรงพระศพ ตราสังแล้วบรรจุพระศพสามกษัตริย์ลงในโลงทอง และอีกสองโลงสำหรับนายแก้วกับนางรื่นนายขวัญกับนางโรย ตามจารีตประเพณีทุกประการจากนั้นทรงให้นายช่างประจำราชสำนักจัดทำพระเมรุให้งามวิจิตรเพื่อเป็นการบูชาพระศพสามกษัตริย์แล้วตรัสให้คณะทูตนำพระราชสารและบรรณาการทั้งหลายไปถวายแด่พระนางบุญเหลือที่ยังเมืองสรวง
                 ฝ่ายพระนางบุญเหลือเมื่อได้ทรงฟังพระราชสารก็ไม่อาจทรงกายยืนอยู่ได้ ทรงล้มลงซบเหนือหมอนร่ำไห้ถึงลูกผู้เป็นกษัตริย์ ทรงร่ำไห้มิรู้กี่ครั้งกี่หน พลางรำพันว่า “ลูกรักของแม่เอยห้ามเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ฟังแม่เลย หากจะตายด้วยไข้หรือด้วยผีแม่ยังได้รักษาจนเต็มตามใจแม่ แต่นี่ลูกกลับไปตายที่เมืองอื่น ด้วยธนูอาบยาพิษ”ครั้นพระนางลักษณวดีทรงรู้ข่าว ก็แล่นมายังพระนางบุญเหลือ รวมทั้งนางพระสนมกำนัลถ้วนหน้า เมื่อทูลถามพระนางบุญเหลือได้ความจริงแน่แท้แล้วต่างพากันทาบตีอกร่ำไห้สนั่นไปทั้งวังผู้คนทั่วหน้าทั้งเมืองร่ำไห้ด้วยความอาลัยรักพระเจ้าแผ่นดิน
                 มุขมนตรีผู้เฒ่าเห็นว่าเจ้านายและผู้คนเมืองสรวงต่างร่ำไห้กันอยู่มิรู้สิ้นสุดเหมือนดั่งจะตายตามไปด้วย จึงทูลเตือนพระนางบุญเหลือว่า “ตอนนี้แผ่นดินไร้กษัตริย์ครอง แต่ยังไม่รู้กันทั่วถึงเมืองอื่นขอให้พระนางคิดการถึงเบื้องหน้าเถิด หากคิดผิดแผก แผ่นดินจะคว่ำ ผีป่าก็จะมาซ้ำผีเรือนก็จะพลอยมาผลักให้ล่มจมโปรดทรงคิดถึงราชการงานเมืองให้จงหนักทั้งหน้าและหลังเถิด” พระนางบุญเหลือฟังแล้วตรัสขอบใจเหล่ามนตรี และว่าที่ทรงคิดจะเสด็จไปปลงศพพระลอลูกรัก เห็นทีจะต้องทรงระงับแล้วทรงให้จัดเตรียมเงินร้อยช่าง ทองร้อยช่าง แก้วมณีเก้าประการ แพรพรรณมากมาย เพื่อนำไปแต่งการพระเมรุของพระลอ แทนตัวพระองค์ที่ไม่ได้เสด็จไปและให้จัดบรรณาการกับพระราชสารไปถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินกับพระนางเจ้าเมืองสรองด้วยเมื่อเสร็จพิธีศพแล้วให้คณะทูตขอรับพระธาตุสามกษัตริย์กับธาตุของพี่เลี้ยงทั้งสี่กลับมาเมืองสรวงด้วย
                  คณะราชทูตจากเมืองสรวงเข้าถวายสารทรัพย์สินแต่งพระศพและบรรณาการแด่พระเจ้าแผ่นดินเมืองสรอง เมื่อเสร็จพิธีศพท้าวพิไชยพิษณุกรเสด็จถวายพระเพลิง ซึ่งจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมตามยศศักดิ์โปรดให้มีงานมหรสพยิ่งใหญ่ เสียงดนตรีบรรเลงกึกก้องสะเทือนพื้นแผ่นดินแสงตะเกียงสว่างโรจน์ไปทั่ว ครั้นเสร็จงานราชพิธีแล้วท้าวท่านก็แบ่งพระธาตุสามกษัตริย์ใส่เครื่องภาชนะ กึ่งหนึ่งทรงให้เก็บไว้ที่หอพระญาติวงศ์อีกกึ่งหนึ่งให้คณะราชทูตรับไว้ท้าวท่านให้แต่งถนนหนทางเพื่อแห่แหนส่งพระธาตุไปจนถึงเมืองสรวง
                   ฝ่ายพระนางบุญเหลือทรงให้แต่งเส้นทางมารับพระธาตุไปสู่ปราสาทเรือนยอดที่สำหรับตั้ง
พระธาตุสามกษัตริย์และจัดแต่งมนเทียรอีกสององค์ ข้างขวาบรรจุธาตุขุนแก้วกับนางรื่นข้างซ้ายของหมื่นขวัญกับนางโรย ทรงทำบุญครั้งใหญ่เพื่อถวายทานแด่จอมกษัตริย์ทรงทำบุญถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และทรงเปิดคลังทำทานทั่วแผ่นดินจากนั้นจึงโปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์ใหญ่โตไว้บรรจุพระธาตุสามกษัตริย์ให้ถาวรสืบไปและสร้างสถูปซ้ายขวาไว้บรรจุธาตุพี่เลี้ยงทั้งสี่ ฝ่ายเมืองสรองท้าวพิไชยพิษณุกรก็โปรดให้ทำดุจเดียวกัน ทรงส่งสารบอกพระราชกำหนดวันแล้วจัดงานบรรจุพระธาตุและทำบุญในวันเดียวกันอย่างยิ่งใหญ่ทั้งสองเมืองจากนั้นเป็นต้นมาสองเมืองต่างส่งสารแสดงไมตรีสืบต่อกันเรื่อยไป
                  บทส่งท้าย ขอให้พระลอลิลิตเป็นศรีแก่ปากผู้ที่บรรจงอ่านเปรียบเหมือนดอกไม้ที่ร้อยกรองไว้อย่างเรียบร้อย เพื่อเป็นเครื่องประดับหูในทุกยามและเสมือนกระแจะอันหอมรื่น ได้แตะเพียงน้อยหนึ่งก็ได้แรงใจ





ความเชื่อในพระพุทธศาสนา



ความเชื่อในพระพุทธศาสนา

            ศาสนามีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์มาตั้งแต่โบราณกาล เดิมทีเดียวมนุษย์ยังไม่มีศาสนา มนุษย์ได้ไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นความเชื่อถือต่าง ๆ เช่น แม่น้ํา ต้นไม้ ภูเขา พระ อาทิตย์ พระจันทร์ ฯลฯ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ มนุษย์มีศรัทธาและความเชื่อถือในธรรมชาติ ผีสาง เทวดา บรรพบุรุษตลอดจนเทพเจ้าต่าง ๆ นั่นเอง กาลเวลาล่วงเลยมา มนุษย์มีความคิดเจริญขึ้นอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นเหล่าเกิดเป็นชุมชน และสุดท้ายได้นับถือศาสนาอันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ อย่างไรก็ดี แม้จะมีศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องผีสางเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ยังคงฝังอยู่ในความเชื่อถือศรัทธาของมนุษย์อย่างแน่นแฟ้น ดยเหตุที่ศาสนามีความเกี่ยวพันกับจิตใจมนุษย์ เป็นศาสตร์ที่วางแบบฉบับชีวิตให้มนุษย์ เป็นหลักเป็นที่พึ่งของมนุษย์และเป็นประทีปให้ความสว่างแก่มนุษย์ในการดําเนินชีวิต ฉะนั้นการ แสดงออกของมนุษย์จึงมีเรื่องเกี่ยวกับศาสนาแทรกอยู่ในชีวิตประจําวัน ซึ่งถือเป็นระเบียบประเพณีที่ ประพฤติปฏิบัติกันต่อ ๆ มา
                  "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม คือเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าและเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ด้วยความเพียรของตน กล่าวคือ ศาสนาพุทธสอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเองด้วยผลแห่งการกระทำของตน ตามกฎแห่งกรรม มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง เพื่อพาตัวเองออกจากกองทุกข์"

                  ปรัชญาพุทธศาสนามุ่งสอนให้คนทําความดี ละเว้นความชั่ว และทําจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ พุทธศาสนาสอนเรื่องกรรม กรรมเป็นเครื่องบันดาลเป็นเครื่องสร้างทุกอย่าง กรรมคือการกระทํา กระทําไว้อย่างไรย่อมเกิดผลแห่งการกระทําเช่นนั้น เหมือนชาวนาหว่านพืช ชนิดใดย่อมได้รับผลของพืชชนิดนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในอภิณหปัจเวกขณสูตร ว่า 
หญิง ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับรองผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทํากรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะได้รับผลแห่งกรรมนั้น” และในวาเสฏฐสูตร ว่า
บุคคลไม่ได้เป็นคนชั่ว ไม่ได้เป็นคนดี เพราะชาติ หากเป็นเพราะการกระทํา บุคคล เป็นชาวนา เป็นศิลปิน เป็นพ่อค้า เป็นคนรับใช้ เป็นโจร เป็นทหาร เป็นนักบูชายัญ เป็นพระราชา ก็เพราะการกระทํา โลกเป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายผูกพันอยู่ที่กรรม เหมือนกับสลักลืม เป็นเครื่องยึดรถ ที่แล่นไปฉะนั้น” 
                  กรรมนี้เองทําให้คนและสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิด เสวยวิบากกรรมอยู่ เมื่อใดดับกิเลสตัณหาสิ้น ดวงใจใสสะอาดบริสุทธิ์ สว่างและสงบปราศจากเครื่องตึงรัดใด ๆ แล้ว เมื่อนั้นจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เรียกว่า นิพพาน และในศาสนาฮินดูก็เชื่อเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตาย เกิด เช่นเดียวกัน 
                  อิทธิพลของพุทธศาสนาด้านปรัชญาที่เชื่อเรื่องกรรมนี้ ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่องต่าง ๆ มากมายในความคิดของกวีในเรื่องกรรมนี้ มีความคิดว่า กรรมใดที่ทําแล้วย่อมได้รับผลของวิบากกรรมนั้นเสมอ ไม่มีผู้ใดฝืนกรรมลิขิตได้ 

                                ความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในเรื่องลิลิตพระลอ เช่น

            ความเชื่อเรื่องกรรม

                     ถึงกรรมจักอยู่ได้             ฉันใด พระเอย
กรรมบ่มีมีใคร                     ฆ่าข้า
         กุศลส่งสนองไป                   ถึงที่ สุขนา
             บาปส่งจำตกช้า                    ช่วยได้ฉันใด

                    



      ความเชื่อเรื่อง บุญ บาป
สิ่งใดในโลกล้วน                  อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง                     เที่ยงแท้
             คือเงาติดตัวตรัง                     ตรึงแน่น อยู่นา
         ตามแต่บุญบาปแล                   ก่อเกื้อรักษา


ความเชื่อเรื่องความฝัน

ความเชื่อเรื่องความฝัน                  ความเชื่อเรื่องความฝันในเรื่องลิลิตพระลอ จะเห็นว่าก่อนที่ตัวละครเอกจะพบกัน ต่างก็ฝันและตีความ...